วิธีกินวิตามินเสริมอาหารอย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณสดใส
ไม่มีกำหนดอายุ

วิธีกินวิตามินเสริมอาหารอย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณสดใส

วิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ถือว่าเป็นอีกทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะว่าสามารถหากินได้ง่าย และมีวิธีการกินที่ไม่ซับซ้อน แต่ว่าก่อนกินวิตามินนั้นควรทำการศึกษาถึงข้อดีและข้อเสีย พร้อมกับวิธีการกินและปริมาณที่เหมาะสมเสียก่อน โดยในบทความนี้จะมาแนะนำวิธีกินวิตามินอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ และเห็นผลมากที่สุด จะมีวิธีการกินอย่างไร และวิตามินแต่ละชนิดมีประโยชน์อะไรบ้าง ไปดูกันเลย!


สารบัญ วิธีกินวิตามินเสริมอาหารอย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณสดใส


แนะนำ 5 วิธีกินวิตามิน กินอย่างไร ให้ได้ผลดีที่สุด

 

แนะนำ 5 วิธีกินวิตามิน กินอย่างไร ให้ได้ผลดีที่สุด

การกินวิตามินอย่างถูกวิธี เป็นอีกเคล็ดลับที่ช่วยให้การกินวิตามินได้ผลดี และเห็นผลมากที่สุด ซึ่งร่างกายของแต่ละคนนั้นมีความต้องการสารอาหารและแร่ธาตุที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ทุกคนจึงควรทำความรู้จักกับการกินวิตามินให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดย 5 วิธีการกินวิตามินที่ทุกคนสามารถทำตามได้ง่ายๆ มีดังนี้

1.ศึกษารายละเอียดของวิตามินแต่ละชนิดให้ดี

การศึกษารายละเอียดของวิตามินแต่ละชนิดให้ดีนั้น เป็นหนึ่งในวิธีกินวิตามินที่ทุกคนควรทำทุกครั้งก่อนตัดสินใจกินวิตามินชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยควรศึกษาข้อมูลต่างๆ ของวิตามินแต่ละชนิด อย่างเช่น

  • มีประโยชน์อย่างไร
  • ส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้หรือไม่
  • ควรทานเวลาไหน
  • เป็นวิตามินที่สะสมในร่างกาย หรือหากมีปริมาณที่มากเกินไปก็สามารถขับออกมาได้เอง
  • สามารถตอบโจทย์ความต้องการของร่างกายของเราได้มากน้อยแค่ไหน

เพราะว่าวิตามินแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และในชีวิตประจำวันของทุกคนนั้น อาจได้รับสารอาหารที่หลากหลายจากการรับประทานอาหารอยู่แล้ว ถ้าหากได้รับวิตามินชนิดนั้นๆ ในปริมาณที่มากเกินไป อาจกลายเป็นอันตรายต่อร่างกายแทนได้ ดังนั้น ก่อนเริ่มกินวิตามิน ควรศึกษาให้ดี พร้อมกับปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนเลือกกินวิตามินทุกครั้ง เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากวิตามินอย่างเต็มที่ และปลอดภัยจากผลข้างเคียงมากที่สุด

2.กินวิตามินแต่ละชนิดให้ถูกต้องตามเวลา

วิธีกินวิตามินให้ได้ผลนั้นจะต้องกินวิตามินแต่ละชนิดให้ถูกต้องตามเวลา เพราะว่าวิตามินแต่ละชนิดมีความเข้มข้น การละลาย และการถูกดูดซึมเข้าร่างกายที่แตกต่างกัน เช่น

  • Zinc ควรกินตอนท้องว่าง เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างเต็มที่
  • วิตามิน B ควรกินหลังอาหาร เพื่อให้ละลาย และถูกดูดซึมไปพร้อมกับสารอื่นๆ ที่กินเข้าไป
  • วิตามินกลุ่มละลายไขมันอย่าง A D E และ K ที่ควรกินพร้อมกับอาหารในมื้อที่มีไขมัน เพื่อให้ละลาย และร่างกายดูดซึมได้ดีมากขึ้น

ดังนั้น ทุกคนจึงควรกินวิตามินให้ถูกต้องตามเวลา เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี และได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

3.กินวิตามินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลระยะยาว

การกินวิตามินอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกวิธีกินวิตามินที่ทุกคนต้องทำตามอย่างเคร่งครัด เพราะว่าร่างกายของทุกคนนั้นจะต้องได้รับวิตามินบางชนิดเป็นประจำทุกวัน เช่น วิตามิน C และวิตามิน B เป็นต้น และการทานวิตามินนั้นไม่สามารถเห็นผลได้ในทันที เช่น บางคนเป็นหวัด จึงเลือกทานวิตามิน C เพื่อแก้อาการหวัด ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด และไม่สามารถแก้อาการหวัดได้ แต่ว่าสามารถป้องกันด้วยการกินอาหารที่มีวิตามิน C หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามิน C เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การกินวิตามินนั้นจะต้องอาศัยการกินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการหวังผลในระยะยาว

4.กินวิตามินกับน้ำเปล่าเท่านั้น

วิธีกินวิตามินที่ถูกต้อง คือ กินวิตามินกับน้ำเปล่าเท่านั้น เพราะว่าการกินวิตามิน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ รวมถึง ยารักษาโรคกับเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น ชา หรือกาแฟ จะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมสารอาหารของร่างกาย นอกจากนั้น อาจมีตัวยาบางชนิดที่ไ่ม่สามารถทานร่วมกับเครื่องดื่มอื่นๆ ได้ แถมยังทำให้วิตามินที่กินเข้าไปนั้นเห็นผลน้อยลงด้วย ดังนั้น ทุกคนจึงควรกินวิตามินกับน้ำเปล่า เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด และให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีมากยิ่งขึ้น

5.ตรวจร่างกาย หรือปรึกษาแพทย์ก่อนกินวิตามิน

การตรวจร่างกายหรือปรึกษาแพทย์ก่อนกินวิตามิน เป็นอีกวิธีกินวิตามินที่จะช่วยให้ทุกคนได้เห็นผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะว่าร่างกายของทุกคนนั้นมีความต้องการสารอาหาร และแร่ธาตุไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ผู้ที่เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ควรเลี่ยงการทานวิตามิน C หรือผู้ที่ต้องกินยาละลายลิ่มเลือด ควรเลี่ยงการทานวิตามิน E ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด

 

ดังนั้น ก่อนเริ่มกินวิตามินจึงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการเจาะเลือดดูระดับวิตามินต่างๆ ในเลือดเสียก่อน เพราะจะทำให้ทุกคนสามารถเลือกกินวิตามินได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด และปลอดภัยจากผลข้างเคียงต่างๆ อีกด้วย

 

ทำความรู้จักกับวิตามินแต่ละชนิด ก่อนตัดสินใจกิน

การทำความรู้จักกับวิตามินแต่ละชนิดก่อนตัดสินใจกิน ถือว่าเป็นอีกวิธีกินวิตามินที่ทุกคนควรทำเป็นอย่างมาก เพราะว่าวิตามินแต่ละชนิดมีประโยชน์ วิธีการกิน ข้อควรระวัง และปริมาณในการกินที่ไม่เหมือนกัน โดยวิตามินยอดนิยมแต่ละชนิดที่ทุกคนควรทำความรู้จักไว้ มีดังนี้

วิตามิน C

วิตามิน C

วิตามิน C เป็นวิตามินที่หลายๆ คนรู้จักกันดี เพราะว่าเป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกายในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก สามารถพบได้ในผัก เช่น ดอกกะหล่ำ บรอกโคลี ผักโขม หรือมะเขือเทศ เป็นต้น และสามารถพบได้ในผลไม้ เช่น ส้ม สับประรด ฝรั่ง หรือมะละกอ เป็นต้น

ถ้าหากร่างกายของเราไม่ได้รับวิตามิน C อย่างเพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการเลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวมแดง แผลหายช้า หรือกล้ามเนื้อขาไม่มีแรง และถ้าขาดวิตามินซีอย่างรุนแรง อาจทำให้สูญเสียฟันได้ง่ายขึ้น มีเลือดออกเป็นจุดๆ ตามร่างกาย และอาจเป็นโรคโลหิตจางได้

ประโยชน์

วิตามิน C นั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงสามารถช่วยชะลอความแก่ หรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง นอกจากนั้น ยังช่วยเสริมภูมิต้านทานของทางเดินหายใจ ช่วยซ่อมแซม และส่งเสริมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ ถ้าหากกินวิตามิน C อย่างเป็นประจำและสม่ำเสมอ สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แถมยังช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้อีกด้วย

ข้อควรระวัง

ข้อควรระวังในการกินวิตามิน C คือ การกินเกินปริมาณที่จำเป็น ถึงแม้ว่าวิตามิน C สามารถขับออกได้ทางเหงื่อ และปัสสาวะ แต่ถ้ากินในปริมาณที่มากเกินไปเป็นระยะเวลานาน สามารถส่งผลให้ไตทำงานหนัก และเกิดการตกค้างจนกลายเป็นก้อนนิ่วในไตได้ ดังนั้น จึงควรกินในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดี และลดผลข้างเคียง

ปริมาณที่เหมาะสม

ปริมาณในการกินวิตามิน C ที่เหมาะสม คือ ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยวิธีกินวิตามิน C นั้นควรกินหลังจากมื้ออาหาร เพื่อให้อาหารเป็นตัวช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้ดีขึ้น และช่วยลดการระคายเคืองของกระเพาะอาหาร นอกจากนั้น ร่างกายของเราสามารถดูดซึมวิตามิน C ได้เพียง 50% จากวิตามินที่กินไปทั้งหมด และจะถูกขับออกทางปัสสวะ ดังนั้น จึงควรแบ่งกินวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินได้อย่างเต็มที่

วิตามิน B

วิตามิน B

วิตามิน B ที่ทุกคนรู้จักนั้นประกอบไปด้วยวิตามิน B หลากหลายชนิด ได้แก่ วิตามิน B1, B2, B3, B5, B6, B7, B9 และ B12 โดยแต่ละชนิดจะมีหน้าที่และประโยชน์ที่แตกต่างกัน แต่ว่าทุกชนิดนั้นจะคอยทำงานเสริมซึ่งกันและกันเสมอ นอกจากนั้น ยังมีวิตามิน B รวมที่ประกอบไปด้วยวิตามิน B มากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป ได้แก่ กรดพารา-อะมิโนเบนโซอิก (Para-Aminobenzoic Acid), โคลีน (Choline), อิโนซิทอล (Inositol)) และสาหร่ายสีเขียว

โดยวิตามิน B ทั้งหมดนี้สามารถพบได้ในผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืช เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนม ดังนั้น ถ้าหากทุกคนกินอาหารที่มีวิตามิน B อยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามิน B ที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่ม เพราะอาจทำให้เกินความต้องการของร่างกายได้ 

ประโยชน์

วิตามิน B แต่ละชนิดนั้นมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน โดยวิตามินแต่ละชนิดมีคุณประโยชน์ ดังนี้

  1. วิตามิน B1 มีหน้าที่ช่วยป้องกันโรคโลหิตจางและเหน็บชา พร้อมกับบำรุงประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ
  2. วิตามิน B2 มีหน้าที่ช่วยป้องกันการเกิดไมเกรน พร้อมกับบำรุงผิวหนัง เล็บ และเส้นผมให้มีสุขภาพดี แถมยังช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลอดอาหารได้อีกด้วย
  3. วิตามิน B3 มีหน้าที่ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น พร้อมกับช่วยการไหลเวียนของเลือด และช่วยทำลายสารพิษจากควันบุหรี่หรือมลพิษได้อีกด้วย
  4. วิตามิน B5 มีหน้าที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ พร้อมกับช่วยเรื่องการนอนหลับ และควบคุมสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย
  5. วิตามิน B6 มีหน้าที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง และเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง
  6. วิตามิน B7 มีหน้าที่ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ พร้อมกับช่วยป้องกันผมหงอกและบำรุงเล็บที่แห้งเปราะ แถมยังช่วยบรรเทาอาการผื่นผิวหนังอักเสบและอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้
  7. วิตามิน B9 มีหน้าที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพ พร้อมกับช่วยแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ และช่วยชะลอการเกิดผมหงอก แถมยังช่วยรักษาภาวะซีดหรือโรคโลหิตจางได้
  8. วิตามิน B12 มีหน้าที่ช่วยป้องกันการอ่อนเพลียจากโรคโลหิตจาง และมีความจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด รวมถึง การทำงานของระบบประสาทส่วนกลางและระบบทางเดินอาหาร
  9. วิตามิน B รวม มีหน้าที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สุขภาพดี พร้อมกับบำรุงระบบประสาทและสมอง  และช่วยเร่งการเผาผลาญภายในร่างกาย รวมถึงช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระและลดการสะสมไขมัน

ข้อควรระวัง

ข้อควรระวังในการกินวิตามิน B คือ หลีกเลี่ยงการกินวิตามิน B ช่วงเย็นหรือก่อนนอน เพราะว่าวิตามิน B มีส่วนในการกระตุ้นระบบประสาทของร่างกายให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ถ้าหากกินในช่วงเย็นหรือก่อนนอนนั้น อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับหรือนอนหลับไม่สนิทได้

ปริมาณที่เหมาะสม

ปริมาณในการกินวิตามิน B ที่เหมาะสม คือ กินวิตามิน B แต่ละชนิดประมาณ 25-50 มิลลิกรัม โดยสามารถกินในตอนเช้าขณะที่ท้องว่าง เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดี หรือกินระหว่างมื้ออาหารหรือหลังมื้ออาหารก็ได้เช่นกัน เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และควรดื่มน้ำตามในปริมาณมากๆ เพื่อให้น้ำแยกวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ออกจากกัน ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น

วิตามิน A, D, E และ K

วิตามิน A, D, E และ K

วิตามิน A, D, E และ K เป็นวิตามินกลุ่มที่ละลายในไขมัน โดยร่างกายจะสามารถดูดซึมวิตามินกลุ่มนี้ได้ก็ต่อเมื่อละลายในไขมันหรือน้ำมันเท่านั้น และวิตามินแต่ละชนิดนั้นสามารถพบได้ในอาหารที่ทุกคนกินในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืช เนื้อสัตว์ต่างๆ และผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึง แสงแดดในช่วงเช้าประมาณ 10 นาที ซึ่งวิตามินแต่ละชนิดนั้นมีหน้าที่ในการช่วยซ่อมแซม หรือเสริมสร้างที่แตกต่างกัน

ดังนั้น ทุกคนจึงควรกินอาหารอย่างหลากหลายในปริมาณที่พอดี เพื่อให้ได้รับวิตามิน A, D, E และ K อย่างครบถ้วน และไม่ส่งผลข้างเคียงหรือผลเสียต่อร่างกายในอนาคต

ประโยชน์

วิตามิน A, D, E และ K นั้นมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน โดยวิตามินแต่ละชนิดมีคุณประโยชน์ ดังนี้

  1. วิตามิน A มีหน้าที่ช่วยเสริมสร้างในการมองเห็น และช่วยป้องกันการเกิดโรคทางสายตาอื่นๆ ได้ พร้อมกับช่วยบำรุงรักษาเยื่อบุผิวของอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร รวมถึง ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอีกด้วย
  2. วิตามิน D มีหน้าที่ช่วยเก็บแคลเซียมเข้ากระดูก พร้อมกับช่วยป้องกันโรคกระดูกบางและกระดูกพรุน
  3. วิตามิน E มีหน้าที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ และเป็นสารต้านอนมูลอิสระที่สำคัญต่อร่างกาย
  4. วิตามิน K มีหน้าที่ช่วยให้การแข็งตัวของเลือดทำงานได้เป็นปกติ

ข้อควรระวัง

ข้อควรระวังในการกินวิตามิน A, D, E และ K คือ ไม่กินคู่กับอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของธาตุเหล็ก เพราะอาจไปขัดขวางการดูดซึมได้ และไม่ควรทานวิตามินทั้ง 4 ชนิดในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจเกิดการสะสมในร่างกาย ซึ่งสามารถส่งผลต่อระบบการทำงานของตับและสมองได้

ปริมาณที่เหมาะสม

ปริมาณในการกินวิตามิน A, D, E และ K ที่เหมาะสม มีดังนี้

  1. วิตามิน A ประมาณ 600-700 ไมโครกรัมต่อวัน และควรกินระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหารมื้อใดก็ได้ ไม่เกิน 30 นาที
  2. วิตามิน D ไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อวัน และควรกินระหว่างมื้ออาหาร หรือหลังอาหารเช้าหรือเที่ยง ไม่เกิน 30 นาที
  3. วิตามิน E ไม่เกิน 1,000 ไมโคกรัมต่อวัน สามารถกินระหว่างมื้ออาหาร หรือหลังอาหารมื้อใดก็ได้ แต่ควรกินวิตามิน E ร่วมกับอาหารที่มีไขมันเล็กน้อย
  4. วิตามิน K ประมาณ 65-80 ไมโครกรัมต่อวัน และควรกินระหว่างมื้ออาหาร หรือหลังอาหารมื้อใดก็ได้ ไม่เกิน 30 นาที

ซิงก์ (Zinc)

ซิงก์ (Zinc)

ซิงก์ หรือ สังกะสี เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่หลายๆ คนเชื่อว่าสามารถช่วยลดสิวได้ เพราะว่าซิงก์เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการผลิตฮอร์โมนในร่างกายมากกว่า 200 ชนิด สามารถพบได้ในเนื้อสัตว์ปีก และอาหารทะเล เช่น หอยนางรม และกุ้ง รวมถึง ผักและผลไม้ต่างๆ เช่น ผักโขม มะเขือเทศ แอปเปิล และสับปะรด หรือธัญพืช อย่างถั่วลิสงและงา เป็นต้น

แต่ว่าปริมาณของซิงก์ในอาหารประเภทต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมของแหล่งผลิต ซึ่งอาจทำให้ในอาหารเหล่านั้นมีซิงก์ไม่เท่ากัน ถึงแม้ว่าจะเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยก็ควรทานอาหารที่มีซิงก์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปริมาณที่พอดี เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ประโยชน์

ซิงก์ เป็นแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนั้น ยังสามารถช่วยต้านการอักเสบได้ดี สามารถช่วยรักษาแผลและสมานแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้น พร้อมกับบำรุงเล็บและผมให้สุขภาพดี แถมยังช่วยต่อต้านแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว และช่วยลดความดันโลหิตสูง ลดการสลายของกระดูก และกระตุ้นการสร้างเนื้อกระดูกได้อีกด้วย

ข้อควรระวัง

ข้อควรระวังในการกินซิงก์ คือ ไม่ควรกินพร้อมกับอาหารที่มีธาตุเหล็ก ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียม หรือยาเสริมธาตุเหล็ก เพราะการกินพร้อมกันนั้นจะไปลดประสิทธิภาพของการดูดซึมซิงก์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุและยาที่กินเข้าไปได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้เห็นผลลัพธ์ไม่ชัดเจน หรือไม่มีประสิทธิภาพ

ปริมาณที่เหมาะสม

ปริมาณในการกินซิงก์ที่เหมาะสม คือ การกินไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อวัน และควรกินซิงก์แบบ 1 เดือน เว้น 1 เดือน ถ้าหากกินติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแย่ลง และอาจทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้ เพราะซิงก์เข้าแทนธาตุเหล็กและทองแดงในเม็ดเลือดแดง นอกจากนั้น ยังทำให้ระดับคอเลสเตอรอลสูงขึ้น และระดับไขมันดีในร่างกายลดลง ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดอุดตันตามมาได้

สารสกัดเมล็ดองุ่น (Grape Seed)

สารสกัดเมล็ดองุ่น (Grape Seed)

Grape Seed หรือสารสกัดจากเมล็ดองุ่น เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้มาจากการสกัดเอาสารที่สำคัญอย่าง OPCs ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ซึ่งสูงกว่าวิตามิน C มากถึง 20 เท่า และวิตามิน E มากถึง 50 เท่า แถมยังสามารถละลายน้ำได้ดี จึงมีประสิทธิภาพมากในการปกป้องเซลล์ต่างๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระได้ และสามารถหวังผลในเรื่องผิวพรรณสุขภาพดี และการป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้เป็นอย่างดี ดังนั้น สารสกัดเมล็ดองุ่นจึงเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่นิยมในกลุ่มสาวๆ เป็นอย่างมาก

ประโยชน์

ประโยชน์ของสารสกัดจากเมล็ดองุ่นนั้นมีหลากหลายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น การช่วยบำรุงผิวพรรณด้วยการเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ลดกระบวนการสร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง และช่วยลดปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอกัน นอกจากนั้น ยังสามารถช่วยป้องกันความเสื่อมของดวงตา บรรเทาอาการภูมิแพ้ บรรเทาอาการเส้นเลือดขอด และช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ได้อีกด้วย

ข้อควรระวัง

ข้อควรระวังในการกินสารสกัดเมล็ดองุ่น คือ ผู้ที่มีภาวะเลือดแข็งตัวช้า ผู้ที่กำลังกินยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือผู้ที่กำลังจะได้รับการผ่าตัด ไม่ควรกินสารสกัดเมล็ดองุ่นก่อนเข้ารับการผ่าตัดประมาณ 2 สัปดาห์ เพราะว่าอาจมีผลในเรื่องของการชะลอการแข็งตัวของเลือด ซึ่งสามารถส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า หรือเลือดออกง่าย และอาจจะไม่หยุดไหลได้

ปริมาณที่เหมาะสม

ปริมาณในการกินสารสกัดเมล็ดองุ่นที่เหมาะสม คือ ไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อวัน และควรทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นติดต่อกัน 3 เดือน และเว้น 1 เดือน โดยวิธีการกินให้เห็นผลนั้นจะต้องเลือกที่มี OPCs มากกว่า 90% ขึ้นไป เพื่อให้ร่างกายได้รับสารสกัดที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่ และควรกินเวลาเดิมทุกๆ วัน เพื่อให้ร่างกายได้รับสาร OPCs อย่างต่อเนื่อง และกินคู่กับวิตามิน C สามารถช่วยให้เห็นผลลัพธ์ด้านผิวพรรณดียิ่งขึ้น

 

วิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแต่ละชนิดนั้นมีประโยชน์ และคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนั้น ทุกคนจึงควรศึกษาวิธีกินวิตามินให้ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้ได้รับประโยชน์และเห็นผลมากที่สุด หลังจากทุกคนทำความรู้จักกับวิตามินแต่ละชนิดเป็นอย่างดีแล้ว และกำลังมองหาแหล่งจำหน่ายวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่น่าเชื่อถือ สามารถมาได้ที่ศูนย์การค้าเดอะ สตรีท รัชดา ไลฟ์สไตล์มอลล์ใจกลางย่านรัชดาที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งรวบรวมแหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น

  • Pharmax24 (ชั้น B) ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเภสัชกรคอยให้คำแนะนำ
  • Watsons (ชั้น 1) ร้านเพื่อสุขภาพและความงามแบรนด์ดัง ที่มีวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้เลือกซื้ออย่างหลากหลาย
  • Boots (ชั้น 1) ร้านเพื่อสุขภาพและความงามที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ ที่จำหน่ายวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ยอดนิยม
  • B More (ชั้น 1) แหล่งรวมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ที่พร้อมให้คำแนะนำโดยเภสัชจุฬาฯ
  • Karn Cosmetics (ชั้น 1) แหล่งรวมวิตามินเพื่อสุขภาพ และสินค้าเคาน์เตอร์แบรนด์ชั้นนำ ทั้งในและต่างประเทศ เอาไว้ให้ทุกคนอย่างครบถ้วน

Related