เมืองไทยจัดเป็นเมืองเขตร้อน ที่นาน ๆ ครั้งจะได้สัมผัสกับอากาศหนาวเย็นให้ได้ฟินกัน โดยเฉพาะภาคกลาง ที่อากาศเย็นแวะมาทักทายไม่นานก็จากไป จึงทำให้หลาย ๆ คนต้องหาวิธีคลายร้อนร้อน ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ในห้องแอร์ หรือการออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการหาขนมหวานที่ช่วยคลายร้อนทาน และหนึ่งในของหวานที่กำลังเป็นกระแสและได้รับความนิยมของผู้คนทุกเพศทุกวัย ก็คือ บิงซู หรือน้ำแข็งไสสไตล์เกาหลี ที่เข้ามาตีตลาดประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยความอร่อยอย่างมีเอกลักษณ์จึงสามารถครองใจคนไทยได้ไม่ยาก ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับบิงซูอย่างละเอียด รวมถึงวิธีการทำบิงซูสูตรต่าง ๆ ที่สามารถทำกินเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน แต่อร่อยเหมือนไปกินที่ร้านเลย
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับบิงซู ว่าคืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร มีต้นกำเนิดมาจากไหน และเพราะอะไรของหวานชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในภูมิภาคเอเชียและประเทศไทยของเรา
บิงซู (Bingsu) มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลี เดิมมีชื่อเรียกว่า พัดบิงซู แปลว่าบิงซูถั่วแดงกวน ซึ่งพัดบิงซูจัดเป็นอาหารของชนชั้นสูงในช่วงรัชสมัยโชซอนมีวิธีการทำโดยนำน้ำหรือนมไปแช่จนแข็งแล้วนำมาทุบให้เป็นเกล็ดละเอียดราวกับหิมะ จากนั้นโปะหน้าด้วยถั่วแดงกวนและเมล็ดถั่วลิสง ที่ให้รสชาติหวานมัน เย็นชื่นใจ ต่อมาเมื่อพัดบิงซูได้แพร่หลายในกลุ่มคนทั่วไปมากขึ้นจึงเริ่มมีการประยุกต์ ด้วยการเพิ่มท็อปปิ้งต่าง ๆ ลงไป เช่น ผลไม้ ช็อกโกแลต หรือขนม จึงได้ตัดคำว่าพัดที่แปลว่าถั่วแดงออก เหลือเพียงบิงซู อย่างที่เราเรียกกันในปัจจุบันนั่นเอง
หากนึกถึงบิงซู แน่นอนว่าทุกคนต้องคิดถึงความหวานเย็นชวนฟินที่คล้ายกับน้ำแข็งไสของไทย แต่ว่าจุดแตกต่าง ที่นับว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบิงซูนั้นอยู่ที่น้ำแข็ง ซึ่งใช้นมแช่เย็นและนำมาขูดจนได้เกล็ดเล็ก ๆ ที่มีรสชาติหวานมัน เนื้อเนียนละเอียดสามารถละลายในปากได้เลย ดังนั้นเมื่อเพิ่มท็อปปิ้งอะไรลงไปในบิงซู ก็ล้วนแต่กลมกล่อมเข้ากัน
ก่อนหน้านี้เราได้กล่าวถึง พัดบิงซู ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของบิงซูเกาหลีกันไปแล้ว แต่ทุกคนรู้หรือไม่ว่าหลังจากที่บิงซูได้กลายมาเป็นเมนูยอดฮิตของชาวเกาหลีแล้ว บิงซูก็ถูกนำมาดัดแปลงและเติมแต่งส่วนผสมต่าง ๆ จนกลายมาเป็นเมนูบิงซูที่มีรสชาติหลากหลายมากขึ้น แต่ถึงอย่างไร ก็ยังคงจุดเด่นของต้นตำรับเดิมไว้คือความเนียนละเอียดของเกล็ดน้ำแข็งที่นุ่มละมุน และมีรสชาติหวานมันอร่อย แถมยังมีท็อปปิ้งที่เป็นเอกลักษณ์อย่างถั่วแดงบดกับแป้งต๊อกหรือแป้งเกาหลี ที่โปะลงบนเกล็ดน้ำแข็ง เพื่อให้ได้รสชาติสไตล์เกาหลีแท้
ด้วยความนิยมของบิงซูที่แพร่กระจายไปในแต่ละภูมิภาค จึงทำให้เกิดเป็นบิงซูสูตรต่าง ๆ ที่ได้ดัดแปลงให้เข้ากับสไตล์ความชอบของคนทาน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมื่อเราไปทานบิงซูที่ร้าน ต่างก็พบเจอเมนูที่หลากหลายเต็มไปหมด แต่จริง ๆ แล้วบิงซูได้ถูกจัดแบ่งประเภทเอาไว้ด้วยกัน 4 ประเภท ดังนี้
1. พัดบิงซู หรือบิงซูต้นตำรับสไตล์เกาหลีแท้ มีจุดเด่นคือความหวานมันและเนื้อเนียนละเอียดของเกล็ดน้ำแข็งและท็อปปิ้ง ในบางร้านมีการเพิ่มถั่วลิสง อัลมอนด์ และก้อนต็อกลงไป ถึงแม้จะไม่มีท็อปปิ้งมากมายเหมือนแบบอื่น ๆ แต่ถ้าหากใครที่อยากลิ้มลองรสชาติแบบดั้งเดิม ก็ไม่ควรพลาดเลย
2. บิงซูผลไม้ เป็นบิงซูที่เข้ากับเมืองไทยอย่างมาก เพราะในบ้านเรามีผลไม้ที่สามารถดัดแปลงให้เข้ากับบิงซูได้เยอะมาก จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เหมาะกับคนที่แพ้ถั่วแดงและคนที่ต้องการความอร่อยสดชื่นจากผลไม้ ทั้งยังได้รับคุณประโยชน์จากผลไม้อีกด้วย
3. บิงซูเพื่อสุขภาพ เป็นเมนูบิงซูที่กำลังได้รับความนิยมไม่แพ้กับบิงซูผลไม้เลย เพราะในปัจจุบันหลายคนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จึงหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีรสหวาน และให้พลังงานสูง ดังนั้นบิงซูประเภทนี้จึงลดระดับความหวานลง และเลือกใช้ท็อปปิ้งที่เป็นธัญพืชและผลไม้ที่ มีกากใยสูง รวมทั้งเลือกใช้นมจากธัญพืช เช่น นมถั่วเหลือง แทนการใช้นมข้นหวานด้วย
4. บิงซูสไตล์ใหม่ มาถึงประเภทสุดท้าย ซึ่งเป็นบิงซูสไตล์แปลกใหม่ ที่ได้รับการสร้างสรรค์จากร้านต่าง ๆ อย่างเช่นบิงซูภูเขาไฟ บิงซูป็อปคอร์น หรือบิงซูซากุระ เป็นต้น เพื่อเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังช่วยเรียกลูกค้าได้ดีอีกด้วย
ด้วยความนิยมของบิงซูที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีร้านบิงซูเกิดขึ้นอย่างมากมาย และแต่ละร้านก็มีรสชาติ จุดเด่น และสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย แต่ทุกคนรู้หรือไม่ ว่าจริง ๆ แล้ว เราสามารถทำบิงซูทานเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน โดยใช้อุปกรณ์และวัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่าง ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป จะมีวิธีทำอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย
- นมสดรสจืด 500 มิลลิลิตร
- นมข้นหวาน 100 มิลลิลิตร
- ลูกสตรอว์เบอร์รีสด
- ซอสสตรอว์เบอร์รี
- วิปปิ้งครีม
- นมผง
1. นำนมสดและนมข้นหวานใส่ลงไปในชามผสม จากนั้นคลุกส่วนผสมให้เข้ากัน
2. ใส่นมจืดและนมข้นหวานที่ผสมเข้ากันแล้วลงในถุงซิป จากนั้นนำไปแช่ช่องฟรีซ (ในระหว่างที่แช่ช่องฟรีซ หมั่นเปิดดูและคอยบีบให้ไม่จับกันเป็นก้อน วิธีนี้จะช่วยให้นมที่ได้ มีเนื้อเนียนละเอียด)
3. ตีวิปปิ้งครีมเตรียมไว้ โดยตีให้พอเป็นเนื้อครีม ถ้าหากชอบรสหวานก็สามารถเพิ่มน้ำตาลได้ตามชอบ
4. หั่นลูกสตรอว์เบอร์รีเตรียมไว้
5. เมื่อส่วนผสมนมที่แช่ไว้เริ่มแข็งตัวดีแล้ว นำมาเทใส่จานขนาดพอเหมาะ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน เริ่มทำการเทส่วนฐานก่อน หลังจากนั้นนำอีกส่วนเทใส่ถ้วยอีกใบ แล้วประกบลงไป
6. ราดวิปปิ้งครีมที่เตรียมไว้ลงบนบิงซู หลังจากนั้นราดตามด้วยซอสสตรอว์เบอร์รี ทำการจัดวางลูกสตรอว์เบอร์รีให้สวยงาม และเพิ่มความหอมมันด้วยนมผง เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูบิงซูสตรอว์เบอร์รีแสนอร่อยแล้ว
- นมสดรสจืด 500 มิลลิลิตร
- นมข้นหวาน 100 มิลลิลิตร
- มะม่วงสุก (แนะนำเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้ เพราะมีรสหวาน หอม อร่อย)
- น้ำตาลทรายป่น
- วิปปิ้งครีม
- นมผง
1. นำนมสดและนมข้นหวานใส่ลงไปในชามผสม จากนั้นคลุกส่วนผสมให้เข้ากัน
2. ใส่นมจืดและนมข้นหวานที่ผสมเข้ากันแล้วลงในถุงซิป จากนั้นนำไปแช่ช่องฟรีซ (ในระหว่างที่แช่ช่องฟรีซอยู่ หมั่นเปิดดูและคอยบีบให้ไม่จับกันเป็นก้อน วิธีนี้จะช่วยให้นมที่ได้มีเนื้อเนียนละเอียด)
3. ทำซอสมะม่วง โดยนำมะม่วงสุกมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วใส่ลงในเครื่องปั่นผลไม้ จากนั้นเติมน้ำตาลทรายป่นเล็กน้อย (สามารถเติมหรือไม่เติมก็ได้ ตามใจชอบ) เมื่อปั่นจนได้ที่จะได้น้ำซอสมะม่วงสีเหลืองสวยให้นำไปพักไว้ในตู้เย็นก่อน
4. ตีวิปปิ้งครีมเตรียมไว้ โดยตีให้เป็นเนื้อครีม ถ้าหากใครชอบรสหวานก็สามารถเพิ่มน้ำตาลได้ตามชอบ
5. หั่นมะม่วงเป็นชิ้นเต๋าเล็ก ๆ (แนะนำให้นำมะม่วงไปแช่เย็นไว้ 1 คืน ก่อนทำการหั่น เพราะจะช่วยให้เนื้อมะม่วงไม่เละ)
6. เมื่อส่วนผสมนมที่แช่ไว้เริ่มแข็งตัวดีแล้ว นำมาเทใส่จานขนาดพอเหมาะ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน เริ่มเทส่วนฐานก่อน หลังจากนั้นนำอีกส่วนเทใส่ถ้วยอีกใบ แล้วประกบลงไป
7. ราดวิปปิ้งครีมที่เตรียมไว้ลงบนบิงซู หลังจากนั้นราดตามด้วยซอสมะม่วงและจัดวางชิ้นมะม่วงลูกเต๋าที่หั่นไว้ให้สวยงาม และสามารถราดนมข้นหวานหรือเติมนมผงเพื่อเพิ่มความหวานมันมากขึ้นได้อีกด้วย
- นมสดรสจืด 100 มิลลิลิตร
- นมข้นหวาน 100 มิลลิลิตร
- แตงโม 1 ลูก
1. ผ่าครึ่งแตงโมออกเป็น 2 ส่วนในแนวขวาง
2. ใช้ที่ตักไอศกรีมหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่สามารถตักเนื้อแตงโมให้เป็นชิ้นกลม ๆ หลังจากนั้นนำเนื้อแตงโมที่ตักไว้แยกใส่ถ้วย
3. นำนมสดและนมข้นหวานใส่ลงไปในชามผสม จากนั้นคลุกส่วนผสมให้เข้ากัน
4. ตักชิ้นแตงโมที่เหลือใช้ลงในที่ปั่น และปั่นเนื้อแตงโมจนละเอียด
5. ใส่เนื้อแตงโมที่ปั่นละเอียดแล้วลงในถุงซิปรวมกับนมจืดและนมข้นหวานที่ผสมเข้ากัน แช่ฟรีซประมาณ 5 ชั่วโมง (ในระหว่างที่แช่ช่องฟรีซอยู่ หมั่นเปิดดูและคอยบีบให้ไม่จับกันเป็นก้อน วิธีนี้จะช่วยให้เนื้อแตงโมที่ได้มีเนื้อเนียนละเอียด)
6. ตักแตงโมที่ตัดไว้ ใส่ลงในเปลือกแตงโมที่ไม่มีเนื้อแล้ว เพื่อให้เป็นฐานและเป็นการสอดไส้แตงโมไว้ จากนั้นทุบเนื้อแตงโมปั่นละเอียดที่แช่เย็นไว้ ให้เป็นเกล็ดและใส่ลงในเปลือกแตงโม
7. นำแตงโมชิ้นกลมที่เตรียมไว้มาตกแต่งบนบิงซู หลังจากนั้นราดนมสดและนมข้นหวานตามลงไป เพียงแค่นี้ก็ได้บิงซูหวานเย็นชื่นใจไว้ทานแล้ว หรือทานคู่กับไอศกรีม ก็จะได้รสชาติที่อร่อยไปอีกแบบด้วย
จากข้างต้น เราได้แนะนำวิธีในการทำบิงซูผลไม้มาฝากทุกคนกันไปแล้ว แต่ยังมีบิงซูอีกประเภทที่ฮิตไม่แพ้กัน นั่นคือเมนูบิงซูที่ทำจากขนมและช็อกโกแลตแสนอร่อย ที่คัดสรรมาเพื่อเอาใจสายหวานโดยเฉพาะ จะมีเมนูอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
- นมสดรสช็อกโกแลต 450 มิลลิลิตร
- นมข้นหวาน 100 มิลลิลิตร
- ช็อกโกแลตแท่ง (สำหรับทำซอสช็อกโกแลต)
- บราวนี่ และ อัลมอนด์
- ไอศกรีมช็อกโกแลต
1. นำนมสดรสช็อกโกแลตและนมข้นหวานใส่ลงไปในชามผสม จากนั้นคลุกส่วนผสมให้เข้ากัน
2. ใส่นมจืดและนมข้นหวานที่ผสมเข้ากันแล้วลงในถุงซิป จากนั้นนำไปแช่ช่องฟรีซ (ในระหว่างที่แช่ช่องฟรีซอยู่ หมั่นเปิดดูและคอยบีบให้ไม่จับกันเป็นก้อน วิธีนี้จะช่วยให้นมที่มีเนื้อเนียนละเอียด)
3. เมื่อส่วนผสมที่แช่ไว้เริ่มแข็งตัวดีแล้ว ให้นำออกมาทุบให้ละเอียด จากนั้นนำมาเทใส่ถ้วยที่เตรียมไว้
4. ทำซอสช็อกโกแลต โดยนำเอาช็อกโกแลตแท่งมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปอุ่นให้ละลาย จากนั้นราดลงบนเนื้อบิงซู
5. ตกแต่งหน้าบิงซูด้วยบราวนี่ อัลมอนด์ และไอศกรีมช็อกโกแลต จากนั้นราดนมข้นหวานเพื่อเพิ่มความอร่อย
- นมสดรสจืด 400 มิลลิลิตร
- นมข้นหวาน 100 มิลลิลิตร
- ผงชาเขียวมัทฉะ
- วิปปิ้งครีม
1. นำนมสดและนมข้นหวานใส่ลงไปในชามผสม จากนั้นคลุกส่วนผสมให้เข้ากัน
2. ใส่นมจืดและนมข้นหวานที่ผสมเข้ากันแล้วลงในถุงซิป จากนั้นนำไปแช่ช่องฟรีซ (ในระหว่างที่แช่ช่องฟรีซอยู่ หมั่นเปิดดูและคอยบีบให้ไม่จับกันเป็นก้อน เพื่อให้นมที่ได้มีเนื้อเนียนละเอียด)
3. ตีวิปปิ้งครีมเตรียมไว้ โดยตีให้พอเป็นเนื้อครีม ถ้าหากชอบรสหวานก็สามารถเพิ่มน้ำตาลได้ตามชอบ
4. เมื่อส่วนผสมที่แช่ไว้เริ่มแข็งตัวดีแล้ว ให้นำออกมาทุบให้ละเอียด จากนั้นนำมาเทใส่ถ้วยที่เตรียมไว้
5. ตกแต่งหน้าบิงซู โดยการโรยผงชาเขียวมัทฉะตามชอบ จากนั้นราดตามด้วยวิปปิ้งครีม
- นมสดรสช็อกโกแลต 400 มิลลิลิตร
- นมข้นหวาน 100 มิลลิลิตร
- ผงโกโก้
- ซอสช็อกโกแลต
- อัลมอนด์
- วิปปิ้งครีม
1. นำนมสดและนมข้นหวานใส่ลงไปในชามผสม จากนั้นคลุกส่วนผสมให้เข้ากัน
2. ใส่นมจืดและนมข้นหวานที่ผสมเข้ากันแล้วลงในถุงซิป จากนั้นนำไปแช่ช่องฟรีซ (ในระหว่างที่แช่ช่องฟรีซอยู่ หมั่นเปิดดูและคอยบีบให้ไม่จับกันเป็นก้อน วิธีนี้จะช่วยให้นมที่ได้มีเนื้อเนียนละเอียด)
3. ตีวิปปิ้งครีมเตรียมไว้ โดยตีให้พอเป็นเนื้อครีม ถ้าหากชอบรสหวานก็สามารถเพิ่มน้ำตาลได้ตามชอบ
4. เมื่อส่วนผสมที่แช่ไว้เริ่มแข็งตัวดีแล้ว ให้นำออกมาทุบให้ละเอียด จากนั้นนำมาเทใส่ถ้วยที่เตรียมไว้
5. ราดนมข้นหวานลงไป แล้วตักผงโกโก้โรยให้ทั่วบิงซู จากนั้นราดตามด้วยวิปปิ้งครีม
6. เพิ่มความเข้มข้นด้วยการราดซอสช็อกโกแลตและตกแต่งหน้าตาด้วยอัลมอนด์ตามชอบ
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กับเคล็ดลับและวิธีการทำบิงซูให้อร่อย คือการเตรียมวัตถุดิบ เพราะมากกว่า 50% ของอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหรืออาหารหวาน ล้วนแต่ต้องอาศัยรสชาติจากวัตถุดิบเป็นหลัก ดังนั้นเราจึงนำทริคการเลือกวัตถุดิบในการทำบิงซูและแหล่งซื้อวัตถุดิบที่ครบครันมาให้คุณได้เลือกสรร
บิงซูผลไม้เป็นเมนูยอดฮิตอย่างมากในเมืองไทย เพราะเมืองไทยอุดมไปด้วยผลไม้หลากชนิดที่มีราคาถูก ดังนั้น เพื่อให้เข้ากันกับเนื้อเนียนละเอียดของบิงซูและสามารถอร่อยได้ไม่สะดุด ควรเลือกผลไม้สดใหม่ที่มีรสชาติหวานฉ่ำและมีเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม เช่น กล้วย มะม่วง แตงโม หรือสตรอว์เบอร์รี เป็นต้น
ถึงแม้ว่าหลากหลายเมนูที่เราแนะนำไปจะเป็นการทำเนื้อบิงซูจากนมหรือเนื้อผลไม้ แต่ก็มีอีกหลายสูตรที่ใช้วิธีการบดน้ำแข็งคล้าย ๆ กับน้ำแข็งไสของบ้านเรา แล้วราดด้วยนมหรือท็อปปิ้งอื่น ๆ ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือคนที่ต้องจำกัดการบริโภคน้ำตาลต่อวัน สำหรับการเลือกซื้อน้ำแข็งนั้น ควรเลือกน้ำแข็งที่มีลักษณะใสทั้งก้อน ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ถูกสุขอนามัยและไม่แช่รวมกับอาหารชนิดอื่นเพื่อป้องกันกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้
วัตถุดิบสำคัญของเมนูบิงซูอย่างนมสดนั้นมีให้เลือกซื้ออย่างหลากหลาย ทั้งยี่ห้อและรสชาติ แต่รสชาติที่นิยมกันมากที่สุดคือ นมสดรสจืดแบบพร่องมันเนย เพราะบิงซูเป็นเมนูของหวานที่มีทั้งน้ำตาลและไขมันซึ่งได้จากนมข้นหวานและท็อปปิ้งต่าง ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นหากใช้นมสูตรพร่องมันเนยก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้คุณไม่ต้องเครียดกับน้ำหนักบนตาชั่ง
ปิดท้ายกันด้วยวิธีการเลือกท็อปปิ้งบิงซู ตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เมนูของเราน่ากินและยังเพิ่มรสชาติความอร่อยได้อย่างดี ซึ่งหากจะเลือกทำเมนูประเภทบิงซูผลไม้ก็ควรเลือกใช้ท็อปปิ้งผลไม้ เช่น ส้ม สตรอว์เบอร์รี กีวีหรือลูกพรุน เป็นต้น หรืออาจจะใช้เมล็ดธัญพืช เช่น ถั่วแดง ข้าวโพด อัลมอนด์ หรือถั่วลิสง ส่วนท็อปปิ้งสำหรับเมนูบิงซูทั่ว ๆ ไป อย่างรสช็อกโกแลตหรือโอริโอ้ก็สามารถเลือกท็อปปิ้งเป็นขนม เวเฟอร์ คุกกี้ และไอศกรีมรสที่ชอบได้เลย ส่วนใครที่ชื่นชอบวิปปิ้งครีมแต่ไม่อยากผสมเองก็สามารถเลือกซื้อวิปครีมสำเร็จรูปในแบบที่ชอบก็ช่วยประหยัดเวลาได้อีกด้วย
สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ เราเชื่อว่าคงได้ไอเดียในการทำบิงซูไปอย่างจุใจแล้วแน่นอน หากใครที่กำลังมองหาแหล่งซื้อวัตถุดิบคุณภาพจากทั้งในและต่างประเทศที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายครบครัน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารคาวหรืออาหารหวาน เราก็ขอแนะนำให้มาที่ Foodland Supermarket แหล่งรวมวัตถุดิบที่ถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เปิดให้บริการคุณตลอด 24 ชั่วโมง ที่ ศูนย์การค้าเดอะ สตรีท รัชดา ซึ่งเป็น Food Destination ที่มีสินค้าและอุปกรณ์สำหรับการทำบิงซูคุณภาพดี ในราคาย่อมเยา ที่รอให้ทุกคนมาเลือกซื้อได้อย่างเพลิดเพลิน แต่หากใครที่ไม่มีเวลาทำบิงซูเองที่บ้านก็สามารถแวะไปนั่งทานชิล ๆ ได้ที่ร้าน Hollys Coffee ร้านบิงซูชื่อดังจากเกาหลี ตั้งอยู่บริเวณชั้น B ของศูนย์การค้าเดอะ สตรีท รัชดา ที่ยกเมนูบิงซูสไตล์เกาหลีแท้ ๆ มาให้คุณได้ลิ้มลอง