“ฮ่องกง” มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่เกิดจากการผสมผสานความทันสมัยเข้ากับประเพณีดั้งเดิมได้อย่างลงตัว จนเกิดเป็นความโดดเด่นและความมีเอกลักษณ์ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้มาร่วมค้นหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัฒนธรรมอาหาร ซึ่งมีอิทธิพลต่อผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งชาวฮ่องกงเอง หรือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต่างก็หลงใหลในรสชาติความอร่อยของอาหารฮ่องกงที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนั้น อาหารในทุกจานยังบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติและความเป็นมาอย่างยาวนานของฮ่องกง เช่น ส่วนผสมที่ได้รับอิทธิพลมาจากการเป็นเมืองใต้อาณานิคมของอังกฤษ รวมไปถึง ส่วนผสมที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมในด้านต่าง ๆ ด้วย เช่น สัตว์ทะเล เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ จึงกลายเป็นจุดเด่นที่เสริมให้อาหารฮ่องกงมีรสชาติอร่อยไม่แพ้อาหารชาติใดในโลก ดังนั้น บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจ และวัฒนธรรมการกินอาหารของชาวฮ่องกง รวมไปถึง 8 เมนูอาหารฮ่องกงแบบฉบับดั้งเดิม ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “สวรรค์ของนักชิม”
อาหารฮ่องกงเป็นเมนูอาหารที่ถูกปากของคนไทยเป็นอย่างมาก เพราะสไตล์อาหารมีความคล้ายคลึงกัน ความเหมือนของอาหารฮ่องกงและอาหารไทยคือ การปรุงให้รสชาติกลมกล่อม มีความพิถีพิถันสวยงาม และเมนูมีความหลากหลาย แต่แตกต่างที่อาหารฮ่องกงจะมีกลิ่นของทะเล เพราะมีทั้งบรรดาปลาและอาหารทะเลตากแห้งเลิศรส โดยแหล่งอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคือหมู่บ้านประมงไท่โอ (Tai O Fishing Village) ที่เรียกว่าเป็นเวนิสแห่งฮ่องกงนั่นเอง และความแตกต่างอีกอย่าง คือ อาหารฮ่องกงจะมีรสชาติที่อ่อน แต่อาหารไทยจะมีรสชาติจัดจ้าน และมีความเผ็ดร้อนจากสมุนไพรมากกว่า นอกจากนั้นอาหารไทยมักนิยมปรุงรสด้วยเกลือและน้ำปลา ในขณะที่เมนูอาหารฮ่องกงนิยมปรุงรสด้วยซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว
ฮ่องกง แรกเริ่มเป็นเกาะเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของประเทศจีนใกล้กับมณฑลกวางตุ้ง ดังนั้น คนฮ่องกงส่วนใหญ่จึงมีเชื้อสายจีนกวางตุ้ง ส่งผลให้อาหารฮ่องกง มีกลิ่นอายของความเป็นกวางตุ้งแฝงอยู่ด้วย ต่อมาในภายหลัง ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกและตะวันออกกลางอย่างอังกฤษ ยุโรป และอาหรับเพิ่มเข้าไปด้วย จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาหารฮ่องกง กล่าวคือ การรวมเอากลิ่นอายของอาหารจากหลายเชื้อชาติเข้าด้วยกันอย่างลงตัวนั่นเอง
วัฒนธรรมอาหารฮ่องกงได้เริ่มต้นขึ้นในยุคล่าอาณานิคม ซึ่งเป็นยุคที่อังกฤษได้นำฝิ่นเข้ามาเพื่อติดต่อค้าขายกับสินค้าจากจีนแผ่นดินใหญ่ เช่น เครื่องเทศ ชา ฯลฯ และเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทำให้คนจีนหลายล้านคนเสพติดฝิ่น อันเป็นชนวนเหตุของสงครามฝิ่น ในปี ค.ศ.1839 ซึ่งจีนเป็นฝ่ายแพ้ในสงครามนี้ ทำให้ต้องยกดินแดนส่วนหนึ่งหรือเกาะฮ่องกงให้กับอังกฤษ โดยมีสัญญาเช่าเป็นระยะเวลานานถึง 99 ปี ส่งผลให้ฮ่องกงกลายเป็นดินแดนที่มีอำนาจปกครองตนเอง นอกจากนี้ ในช่วงเปลี่ยนผ่านการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ชาวจีนแผ่นดินใหญ่จำนวนมากได้อพยพหนีมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เกาะฮ่องกง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญในการผสมผสานทางวัฒนธรรมในฮ่องกง
เมื่อฮ่องกงตกเป็นอาณานิคมอังกฤษ จึงส่งผลให้มีการปกครองและระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างจากการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ของจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้เกิดการค้าขายเสรี ซึ่งเป็นที่มาของการหลั่งไหลทางวัฒนธรรมในด้านต่าง ๆ เข้ามาจากประเทศอื่น นอกจากนี้ สภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางการค้า เพราะสามารถใช้เป็นท่าเรือน้ำลึกเพื่อรองรับเรือสินค้าขนาดใหญ่ที่จอดรับ-ส่งสินค้าได้ ทำให้ฮ่องกงกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้า การเงิน และศูนย์รวมทางด้านวัฒนธรรม นอกจากนั้นสภาพสังคม แนวคิดทางการเมือง และเศรษฐกิจ ก็มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวฮ่องกงในทุกด้าน โดยเฉพาะวัฒนธรรมอาหารที่ได้ผสมผสานระหว่างอาหารกวางตุ้งกับอาหารตะวันตกเข้าด้วยกัน จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของอาหารฮ่องกงในปัจจุบัน
ฮ่องกงได้รับอิทธิพลจากจีนกวางตุ้ง เพราะชาวจีนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในฮ่องกงนั้นเดิมที่อาศัยอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ดังนั้นพื้นเพของวัฒนธรรมเดิมจึงเป็นแบบชาวตะวันออก แต่ชาวยุโรปที่ย้ายมาจากประเทศเจ้าอาณานิคมมีวิถีชีวิตเดิมแบบชาวตะวันตก ส่งผลให้ฮ่องกงได้ผสานรวมเอาวัฒนธรรมจากทั้งชาติตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งถูกสะท้อนออกมาในการใช้ชีวิตประจำวัน และอาหาร เช่น ขนมปังฮ่องกงที่มีหน้าตาคล้ายเฟรนช์โทสต์ แต่ได้เพิ่มไส้เป็นเต้าหู้เข้าไปด้วย
วัฒนธรรมจากฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ได้มาหลอมรวมกันที่ฮ่องกงอย่างกลมกลืน จนกลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางมาสัมผัสกับวัฒนธรรมที่งดงามและมีเอกลักษณ์ ดังคำกล่าวถึงฮ่องกงว่าเป็น “ดินแดนแห่งร้านอาหารน้อยใหญ่ เข่งไม้ไผ่ และไพ่นกกระจอก” ถึงแม้ว่าจะมีการผสมผสานวิถีชีวิตอย่างหลากหลาย แต่ชาวฮ่องกงยังยึดมั่นกับการได้ดื่มด่ำไปกับรสชาติที่แท้จริงของตัววัตถุดิบในอาหาร ทำให้ชาวฮ่องกงได้พยายามประยุกต์ และดัดแปลงเมนูอาหาร เพื่อให้มีรสชาติที่ดี แต่ยังคงชูความพิเศษเฉพาะตัวของวัตถุดิบไว้ นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมนตร์เสน่ห์ของอาหารฮ่องกงที่รอให้ทุกคนมาลิ้มลอง
ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่นของฮ่องกง จึงทำให้ฮ่องกงมีเสน่ห์น่าค้นหาในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะอาหารฮ่องกง ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ของตัวร้านอาหาร อย่างย่านถนนต่ายผ่ายตอง (Dai Pai Dong) ที่มีร้านอาหารอยู่ในทุกตรอกทุกมุม หรือเสน่ห์ของอาหารฮ่องกง เช่น ติ่มซำนึ่งที่เสิร์ฟมาในเข่งไม้ไผ่ ซึ่งเป็นงานฝีมือของชาวท้องถิ่น ถือได้ว่าเป็นการสอดแทรกวัฒนธรรมงานฝีมือไปในจานอาหารได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ฮ่องกงยังมีอาหารตามเทศกาล อย่างขนมแป้งนึ่งทั้งไส้คาวและไส้หวาน ซึ่งเป็นที่นิยมในช่วงเช็งเม้ง อีกด้วย
เนื่องจากชาวฮ่องกงมีความละเอียดและพิถีพิถันเรื่องการกินมาก ไม่ว่าจะเป็นภายในบ้านหรือร้านอาหารนอกบ้าน ในส่วนนี้เรามีข้อมูลการปฎิบัติตัวที่ช่วยให้กินอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อยเข้ากับบรรยากาศ และไม่ทำตรงกันข้ามกับธรรมเนียมมาฝาก
การร่วมโต๊ะอาหารของชาวฮ่องกงนั้น ต้องรอให้เจ้าของบ้านหรือเจ้าภาพเป็นฝ่ายเชิญก่อนเสมอ เช่น การดื่มน้ำควรให้เจ้าของบ้านเชิญก่อนถึงจะสามารถดื่มได้ นอกจากนี้ ควรชิมอาหารทุกเมนูบนโต๊ะเพื่อเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพ และหากมีการร่วมแสดงความยินดี ให้ใช้สองมือยกแก้วและดื่มให้หมดในคราวเดียวเพื่อแสดงความเคารพในกรณีที่กินอาหารอิ่มแล้ว ควรวางตะเกียบในที่วางตะเกียบเท่านั้น เพราะการวางตะเกียบบนถ้วยถือว่าเป็นการไม่สุภาพและเชื่อว่าจะนำมาซึ่งโชคร้าย หลังจากนั้น จะมีการเสิร์ฟผลไม้เพื่อเป็นการจบมื้ออาหารนั้น ๆ และเมื่อกินผลไม้เสร็จ ควรนั่งร่วมโต๊ะอีกสักพักแล้วค่อยร่ำลากัน ตามมารยาทบนโต๊ะอาหารของชาวฮ่องกง
ชาวฮ่องกงมีธรรมเนียมการสั่งอาหารที่น่าสนใจ โดยก่อนสั่งอาหาร สำหรับในภัตตาคารหรูจะมีออเดอร์ให้เลือกใบชา ซึ่งพร้อมเสิร์ฟมาในกาน้ำร้อน ในขณะที่ร้านทั่วไปจะมีชาบริการฟรี โดยส่วนมากในเมนูอาหารจะเน้นรูปถ่ายเพียงเมนูอาหารเด่นๆ หลังสั่งอาหารจะมีบิลปักตรงโต๊ะ ซึ่งต้องเดินไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ มีเพียงอาหารฮ่องกงบางร้านที่สามารถเรียกเช็คบิลที่โต๊ะได้ หลังรับประทานเสร็จต้องรีบลุกทันทีไม่ควรนั่งแช่นาน เนื่องจากบางร้านผู้คนค่อนข้างเยอะ แต่มีที่นั่งจำกัด ในกรณีที่กินไม่หมดสามารถให้ร้านห่อกลับบ้านได้ถือเป็นเรื่องปกติ หากมีเสียงไล่จากเจ้าของร้าน ไม่ต้องตกใจหรือถือสามาเป็นอารมณ์แต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านั้น ร้านอาหารทั่วไปจะไม่กังวลเรื่องการให้ทิป เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่จะบวก Service Charge 10% ไว้แล้ว หรือบางร้านจะไม่มี Service Charge แต่จะเขียนระบุในเมนูเพิ่มว่าควรให้ทิปด้วย
บนโต๊ะอาหารฮ่องกง จะมีตะเกียบมากมาย แต่มีความแตกต่างที่ชัดเจนคือมี 2 สี นั่นก็คือ ตะเกียบสีเข้มเป็นตะเกียบกลาง ใช้สำหรับคีบอาหารใส่จานของเราเอง และตะเกียบสีขาวสำหรับใช้กิน ซึ่งบางร้านจะให้คนละ 2 คู่ แต่บางร้านอาจจะให้ตะเกียบกลางไม่ครบทุกคน แต่จะจัดวางสลับกันไป เพื่อให้ทุกคนได้ใช้งานร่วมกัน
การทักทายพูดคุยระหว่างมื้ออาหาร ถือว่าเป็นมารยาทและเป็นการให้เกียรติกัน โดยชาวฮ่องกงเองจะให้ความสำคัญเรื่องความอาวุโส ถ้าหากเราเป็นผู้อาวุโสน้อยกว่าต้องเป็นฝ่ายทักทายก่อนเสมอ และในการพูดคุยกันนั้น ควรเลือกคุยแต่เรื่องที่มีความสุข ผ่อนคลาย สนุกสนาน แต่ไม่ควรพูดอยู่คนเดียวหรือพูดอวดตนเอง นอกจากนั้นควรใช้เสียงให้อยู่ในระดับพอดี ไม่ดังจนเกินไป และควรพูดคุยกับคนที่นั่งใกล้ ๆ กับเรา แต่ถ้าหากอยากพูดคุยกับคนอื่นที่นั่งห่างจากตัวเอง ควรหาโอกาส หรือจังหวะที่เหมาะสม เพื่อเริ่มบทสนทนา
ติ่มซำ (Dim Sum) อาหารเรียกน้ำย่อยชั้นดีที่นิยมกันมากในประเทศจีน โดยคำว่า ติ่มซำ เป็นการเรียกอาหารหลากหลายชนิดรวมกัน มีที่มาจากภาษากวางตุ้ง แปลว่าสัมผัสที่หัวใจ เพราะการทำติ่มซำนั้นต้องใช้ความละเอียดอ่อน และติ่มซำนั้นเป็นอาหารประเภทห่อนึ่ง หรือทอด เช่น ขนมจีบ ฮะเก๋า ฝั่นโก๋ เปาะเปี๊ยะ เสี่ยวหลงเปา เป็นต้น และมักจะทานร่วมกับน้ำจิ้มต่าง ๆ อย่างเช่น ซีอิ๊ว และซอสเปรี้ยวหรือจิ๊กโฉ่ว
ติ่มซำมีวัตถุดิบหลักที่สำคัญคือ แป้ง ไม่ว่าจะเป็นแป้งมันสำปะหลัง แป้งสาลีหรือแป้งข้าวโพด ซึ่งแต่ละเมนูจะใช้แป้งไม่เหมือนกัน และในการทำไส้ติ่มซำนั้นจะใช้เนื้อสัตว์ล้วน ๆ อย่างเช่น เนื้อหมู เนื้อปู หรือเนื้อกุ้ง เป็นต้น
ติ่มซำมีจุดเด่นที่ความสดใหม่ เพื่อให้เข้าถึงรสชาติของไส้ติ่มซำ รวมถึงเนื้อแป้งบาง ๆ เนียนนุ่ม ที่ได้ทำมาอย่างพิถีพิถัน และสามารถเพิ่มความอร่อยด้วยการกินติ่มซำ ไปพร้อมกับการจิบชาได้อีกด้วย
โจ๊กเป็นอาหารประจำวันที่ได้รับความนิยมจากชาวฮ่องกง เพราะสามารถเป็นได้ทั้งมื้อเช้าและมื้อดึก โดยที่นิยมทานตอนเช้าเพื่อให้ท้องโล่งสบาย และนิยมทานเป็นมื้อดึกเพราะย่อยง่าย ในการปรุงโจ๊กฮ่องกงถือว่าเป็นศิลปะการทำอาหารชั้นเยี่ยม เพราะต้องเคี่ยวทั้งข้าวและน้ำให้มีความสมดุลกัน รวมถึงการใช้ไฟที่พอดี จึงทำให้มีความหอมและความอร่อยลงตัว
โจ๊กฮ่องกงมีวัตถุดิบหลักที่สำคัญคือ ข้าวหอมมะลิ และกระดูกหมู โดยทำการเคี่ยวกระดูกหมูให้เปื่อยเพื่อให้ได้ซุปที่หอมและหวาน หลังจากนั้นจึงนำไปต้มกับข้าวหอมมะลิ โดยใช้ไฟที่พอเหมาะและระยะเวลานานในการเคี่ยว เพื่อให้ได้สัมผัสรสชาติโจ๊กแบบต้นตำรับฮ่องกง
โจ๊กฮ่องกงมีจุดเด่นอยู่ที่รสชาติหวานจากน้ำต้มกระดูก ที่เคี่ยวกับข้าวหอมมะลิจนได้เนื้อโจ๊กข้น หอม ละมุนลิ้น และมีรสชาติกำลังดีโดยไม่ต้องปรุงเพิ่ม
เป็นอีกเมนูที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ บะหมี่เกี๊ยวกุ้งฮ่องกง มีความหนึบจากแป้งเกี๊ยว และความกลมกล่อมจากน้ำซุปรสชาติกวางตุ้งแท้ ๆ ที่มีความหอมหวาน และอร่อย รวมถึงการใช้เนื้อกุ้งเน้น ๆ ในการทำเกี๊ยวกุ้ง ทำให้ได้รสชาติของกุ้งเต็ม ๆ คำ
บะหมี่เกี๊ยวกุ้งฮ่องกงมีวัตถุดิบหลักที่สำคัญคือ แป้งเกี๊ยว เส้นบะหมี่ เนื้อกุ้ง เนื้อหมู ปลาแห้งป่นและไข่แดง กล่าวคือ แป้งเกี๊ยวมีความบาง เส้นบะหมี่จากแป้งผสมไข่กุ้ง และน้ำซุปแสนอร่อย รสชาติหวานที่ผ่านการการเคี่ยวกระดูกหมู หรือเนื้อหมู
นอกจากเส้นเล็กละเอียดที่เป็นเอกลักษณ์ของบะหมี่เกี๊ยวกุ้งฮ่องกงแล้ว น้ำซุป ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่สำคัญ เพราะน้ำซุปที่จะใช้ปรุงกับบะหมี่เกี๊ยวจะต้องต้มเคี่ยวด้วยกระดูกหมู และผสมกับปลาแห้ง โดยเฉพาะปลาตาเดียวแห้ง หรือบางร้านมักจะใช้กุ้งแห้งหรือเปลือกกุ้งสดผสมด้วย จึงทำให้ได้น้ำซุปเข้มข้น ที่จะเป็นตัวตัดสินความอร่อยของบะหมี่ชามนั้น นอกจากนี้ ยังมีไส้เกี๊ยวที่ผสมระหว่างเนื้อกุ้งและเนื้อหมูอย่างลงตัว
อีก 1 เมนูอาหารฮ่องกงที่ขึ้นชื่อมาก ๆ เพราะเป็นอาหารย่างที่ได้สัมผัสถึงความหอมหวานของเนื้อ และอร่อยลงตัวไม่เหมือนที่ใด ๆ สามารถสัมผัสได้จากห่านย่างฮ่องกงเนื้อนุ่ม ๆ หนังบาง มีความกรอบนิด ๆ พร้อมกับน้ำราดกลิ่นหอมโดดเด่น
ห่านย่างฮ่องกงมีวัตถุดิบหลักที่สำคัญคือซอสสูตรพิเศษ ที่เป็นสูตรเฉพาะของแต่ละร้าน ที่ต้องใช้ในการหมักห่านทั้งตัว และต้องทำการหมักข้ามคืน เพื่อให้รสชาติของซอสซึมเข้าไปในทุกส่วนของเนื้อห่าน ก่อนจะนำไปผึ่งแห้ง และนำไปย่างในเตาแบบพิเศษ
เนื้อห่านด้านในที่ให้ความนุ่มและชุ่มฉ่ำ เยิ้มไปด้วยมันของห่าน ส่วนหนังด้านนอกจะบางกรอบจนสามารถละลายในปากได้ สามารถนำห่านย่างฮ่องกงไปประยุกต์ได้กับหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นข้าวหน้าห่านย่าง ห่านย่างหมูแดงราดข้าว บะหมี่ห่านย่าง หรือจะฉีกน่องห่านย่างจุ่มลงในถ้วยซุปร้อนๆ ก็อร่อยไปอีกแบบ
มาไล่โก๊ว (Malai Gol) หรือขนมเค้กนึ่งยอดฮิตของฮ่องกง ลักษณะคล้ายขนมเค้ก ด้านนอกมีสีน้ำตาลและมีลักษณะมันเงา มาไล่โก๊วเป็นขนมมงคลที่ชาวฮ่องกงเชื่อว่า เมื่อกินแล้วจะทำให้ชีวิตรุ่งเรือง และเฟื่องฟูไปด้วยเงินทอง นอกจากนี้ยังนิยมใช้เป็นของไหว้เทพเจ้าอีกด้วย
มาไล่โก๊วมีวัตถุดิบหลักที่สำคัญคือ แป้งข้าวเจ้า แป้งสาลีบัวแดงและน้ำตาลทรายแดงหรือโอวทึ้ง รวมทั้ง การใช้ผสมกับวัตถุดิบต่าง ๆ อย่างเช่น นมจืด เหล้าจีน และไข่ไก่ เป็นต้น ก่อนจะนำไปนึ่งในซึ้งประมาณ 15 นาที ก็จะได้มาไล่โก๊วนุ่มฟูแสนอร่อย
มาไล่โก๊วมีจุดเด่นอยู่ที่เนื้อเค้ก ซึ่งมีความนุ่มฟู หอมเหล้าจีน มีกลิ่นน้ำตาลทรายแดงอ่อน ๆ และมีรสชาติหวาน แต่ถ้ากินมาไล่โก๊วอย่างเดียวมักจะฝืดคอ จึงทำให้หลาย ๆ คนนิยมกินคู่กับชาจีน
เมนูร่วมสมัยที่ได้รับความนิยมมากในฮ่องกง คิดค้นโดยหัวหน้าเชฟของ Lei Garden ในปีค.ศ. 1984 และยังได้คงได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบันนี้ เนื่องจากสภาพอากาศของป่าฝนเขตร้อนในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เขาจึงคิดค้นขนมที่ทำให้ผู้คนกินแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นหลังจากได้ลิ้มรส โดยใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น
สาคูมะม่วงฮ่องกงมีวัตถุดิบหลักที่สำคัญ ได้แก่ มะม่วงหั่น ส้มโอหั่น สาคู กะทิ และนม โดยทำการปั่นมะม่วง กะทิและนม จากนั้นนำสาคูที่ต้มเสร็จแล้วมาเทใส่ชามพร้อมกับส่วนผสมที่ปั่นแล้ว และตกแต่งด้วยส้มโอ เพียงเท่านี้ก็ได้สาคูมะม่วงฮ่องกง หวานเย็น ชื่นใจแล้ว
มะม่วงและส้มโอ ส่วนผสมของผลไม้สองชนิดที่เข้ากันอย่างลงตัว เวลาทาน แนะนำให้ตักสาคูมะม่วงพอดีคำและบิส้มโอชิ้นเล็กๆ ด้านบน จะได้รสชาติที่หวานหอม และสดชื่น สาคูมะม่วงยังถือเป็นขนมหวาน ร่วมสมัยสไตล์ฮ่องกง ซึ่งนิยมทานกันในทุกฤดูกาล
ซาลาเปาทอด หนึ่งในเมนูอาหารฮ่องกงยอดนิยม ที่มีทั้งไส้หมูสับ หมูแดง ครีมคัสตาร์ด มัทฉะ ให้เลือกกินตามใจชอบ แต่ไส้ที่ยอดฮิตติดเทรนด์ในขณะนี้ คงหนีไม่พ้น ไส้ไข่เค็มลาวา
ซาลาเปาไข่เค็มลาวามีวัตถุดิบที่หาได้ง่ายๆ ได้แก่ แป้งอเนกประสงค์ นมสด เนยจืด นมผง และไข่แดงเค็ม
จุดเด่นอยู่ที่ไส้ลาวาไข่เค็ม ที่สอดไส้อยู่ภายในแป้งซาลาเปาที่กรอบนอกนุ่มใน เมื่อนำไปนึ่งที่ไฟแรง 8-10 นาที จะได้ไส้ซาลาเปา ลาวาเยิ้ม ๆ หอมอร่อย
เนื่องจาก ชาวฮ่องกงให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเป็นอย่างมาก หนึ่งในเมนูเครื่องดื่มสุขภาพที่ได้รับความนิยม จึงเป็นน้ำข้าวบาร์เลย์ฮ่องกง ซึ่งทำมาจากธัญพืชที่อุดมไปด้วยประโยชน์ต่อร่างกาย
น้ำข้าวบาร์เลย์มีวัตถุดิบหลักที่สำคัญ คือ ข้าวบาร์เลย์ น้ำตาล และเกลือ แต่ในบางสูตรก็เพิ่มน้ำผึ้งและเปลือกมะนาวไปด้วย เพื่อเพิ่มคุณประโยชน์และกลิ่นหอมแสนเย้ายวน ซึ่งสามารถใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ตามใจชอบ
น้ำข้าวบาร์เลย์ฮ่องกงมีจุดเด่นที่ความหอม อร่อย แถมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก และสามารถดื่มได้ทั้งแบบร้อนหรือแบบเย็น
หลังจากที่ได้ทำความรู้จัก เมนูอาหารฮ่องกงที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ จนเรียกได้ว่าเป็น “สวรรค์ของนักชิม” รวมไปถึงเรื่องราวความเป็นมาและวัฒนธรรมการกินที่โดดเด่นของชาวฮ่องกงกันไปแล้ว หากใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากลิ้มลองอาหารฮ่องกงแท้ ๆ สามารถแวะมาได้ที่ร้าน Tim Ho Wan ร้านดังในตำนาน การันตีด้วยรางวัลติดดาว Michelin Star, ร้าน Little Hong Kong และร้านบะหมี่เกี๊ยวกุ้งฮ่องกง by Chef A.J. ชั้น B ศูนย์การค้าเดอะ สตรีท รัชดา ศูนย์รวมอาหารนานาชาติขนาดใหญ่ใจกลางย่านรัชดา Food Destination ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูอร่อยให้คุณได้ลิ้มลองตลอด 24 ชั่วโมง